|
|
[27-06-2019] เก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมา รับรัฐบาลใหม่เร่งโปรเจ็กต์ลงทุน เก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมา แรงหนุนรัฐบาลใหม่เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โบรกฯมองแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ยังเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะครึ่งหลัง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังต้องเผชิญแข่งขันสูงจากบริษัทรับเหมาจีน และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า โบรกฯแนะซื้อ CK เป็น Top pickนายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแนวโน้มหุ้นกลุ่มรับเหมาหลักในไตรมาส 2/2562 คือ CK, STEC และ UNIQ ยังเติบโตได้ดีจากปีก่อนแรงหนุนจากรัฐบาลใหม่เดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานได้แก่โครงการอีอีซี 5 โครงการ มูลค่ารวม 6.9 แสนล้านบาท ปัจจุบันได้ผู้เสนอราคาตํ่าสุด โดยจะเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่อนุมัติในไตรมาส 3/2562, โครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 จำนวน 9 เส้นทาง 3.9 แสนล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 1.28 แสนล้านบาท คาดเปิดประมูลได้ในครึ่งปีหลัง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 1 แสนล้านบาท, โครงการรถไฟไทย-จีน กรุงเทพฯ-นคร ราชสีมา 1.79 แสนล้านบาท ทั้งหมด 14 สัญญา ประกวดราคาไปแล้ว 7 สัญญา จะประกวดราคาตามมาอีก 6 สัญญา ในไตรมาส 3/2562 และโครงการอื่นๆ เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยายและMissing Link โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิขณะที่ทั้ง CK และ STEC มีการตั้งสำรองจากกฎหมายแรงงานใหม่แล้ว ส่วน UNIQ มีการตั้งสำรองไม่มากนักเพียง 9 ล้านบาท ขณะที่ ITD มีภาระต้องตั้งสำรองตามกฎหมายแรงงานใหม่ถึง 310 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกลุ่มรับเหมามีปัจจัยเสี่ยงคือ การเข้ามาของบริษัทรับเหมาจีน ซึ่งประมูลตํ่ากว่าราคากลางมาก และประเด็นค่าแรงขั้นตํ่า โดยการประมูลงานล่าสุด คือทางด่วนพระราม 3- ดาวคะนอง 4 สัญญา วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท และรถไฟไทย-จีน กรุงเทพฯ-นครราชสีมา 5 สัญญา วงเงิน 5.8 หมื่นล้านบาท มีบริษัทรับเหมาจากจีน เข้ามาร่วมทุนกับบริษัทรับเหมาขนาดกลางและได้งานเป็นส่วนใหญ่ และมีราคาตํ่ากว่าราคากลางถึง 13-20% สะท้อนถึงภาวะการแข่งขันที่สูง ขณะที่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็น 400-425 บาท หรือปรับขึ้น 21-29% จากค่าแรงขั้นตํ่าในปัจจุบัน ซึ่งต้นทุนแรงงานคิดเป็นสัดส่วน 15-25% ของต้นทุนก่อสร้าง และประมาณครึ่งหนึ่งจะเป็นค่าแรงขั้นตํ่าทำให้ต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5-3.5% เทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาไม่สูงนักประมาณ 7-10% ทั้งนี้ยังคงนํ้าหนักการลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเท่าตลาด เลือก CK เป็น Top Pick จากในช่วง 1-2 ปีนี้ CK จะได้งานเพิ่มอีก 7 หมื่น -1 แสนล้านบาท และมีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทลูกสูง แนะนำให้ซื้อในช่วงอ่อนตัวทั้ง CK และ STEC บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุ หลังการเซ็นสัญญาโครงการความเร็วสูง 3 สนามบิน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 ซึ่งหลังการเซ็นสัญญากับผู้ชนะประมูลจะเห็นโครงการเดินหน้ามากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการคาดหมายการรับงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยงานรถไฟความเร็วสูง CK จะได้ประโยชน์ ส่วนงานมาบตาพุด เฟส 3 คาดมีโอกาสผู้รับเหมาไทยได้ประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีงานอื่นที่อยู่ระหว่างประมูล เช่นงานสนามบินอู่ตะเภา และงานมอเตอร์เวย์ ( O&M ) 2 เส้นทางคาดมีความชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าซึ่งยังเป็นโอกาสที่ดีต่อการรับงานใหม่เพิ่ม แนะทยอยสะสม CK ,STEC, UNIQ และ SEAFCO ได้ประโยชน์จากงานฐานรากบล.ฟินันเซีย ไซรัสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่าหุ้น 4 ตัวที่บริษัทดูแลได้แก่ CK, PYLON, SEAFCO และ STEC คาดไตรมาส 2/2562 YoY ยังโต แต่ QoQ ชะลอตามปัจจัยตามฤดูกาล อย่างไรก็ดี คาดว่า CK จะเติบโตได้ QoQ แรงหนุนจากการรับรู้เงินปันผลรับจาก TTW
ส่วนในครึ่งปีหลังคาดผลประกอบการของผู้รับเหมาหลัก (CK, STEC) จะดีขึ้น ตามการรับรู้รายได้ของโครงการใหญ่ที่เร่งขึ้น รวมถึง CK ที่มีการเติบโตของเงินลงทุนในบริษัทร่วม จากทั้ง BEM ที่มีการเปิดรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงินส่วนต่อขยายช่วงที่ 2 ตั้งแต่เดือนกันยายนปีนี้บวกกับ CKP ที่เปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าไซยะบุรีในไตรมาส 4/2562 บริษัทให้นํ้าหนักการลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง “มาก กว่าตลาด” จากงานในมือของกลุ่มที่อยู่ในระดับสูง โดยโครงการใหญ่หลายแห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และรับรู้รายได้เร่งขึ้นในลักษณะ S-curve ขณะที่มีโอกาสรับงานใหม่อีกมาก จาก Action Plan ในปี 2562 รวม 41 โครงการ วงเงินลงทุน 1.77 ล้านล้านบาท ขณะที่ Valuation ของกลุ่มถือว่าไม่แพง ซื้อขายบน P/E ปี 2562 เฉลี่ย 23 เท่า ตํ่ากว่าปี 2559 ที่ 23.5 เท่า ซึ่งมีแบ็กล็อกรวม 1 แสนล้านบาท หรือน้อยกว่าปัจจุบันถึง 1.4 เท่า
เลือก CK เป็น Top pick (ราคาเหมาะสม 32 บาท) ในแง่งานในมือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จากฐานตํ่าที่ 4.4 หมื่นล้านบาท เร่งขึ้นแตะ 1 แสนล้านบาทอีกครั้งในรอบ 4 ปีหลังเซ็นสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงในนามกลุ่ม CP (CK ถือ 5%) และหุ้น SEAFCO (ราคาเหมาะสม 10.20 บาท) ผู้รับเหมาฐานรากที่จะได้รับประโยชน์อันดับแรกจากการเร่งงานประมูล อีกทั้งราคาหุ้นปรับลด -7% YTD สวนทางกับกลุ่มที่ +11.6% ขณะที่ STEC แนะให้ Hold ไปก่อน เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้น บวก 28.7% YTD จนมีอัพไซด์ตํ่ากว่า 10%
เว็บ ฐานเศรษฐกิจ
|
|
|